ในฐานะที่ช่างภาพขาซิ่งก็เป็นคนนึงที่ใช้มอไซด์ในการไปทำงานจึงได้เอาความรู้มาให้ทุกๆ คนทั้งที่ขี่มอไซด์ก็ดี หรือว่าขับรถก็ดี แล้วอยากจะใส่ท่อแต่งกันมาแชร์ให้ได้รู้กันว่าวิธีการวัดความดังเสียงท่อที่ถูกต้องเป็นยังไง ข้อกฎหมายเขียนไว้ยังไง นะครับ
ประกาศกรมการขนส่งทางบก
เรื่อง กำหนดระดับเสียงและวิธีการวัดระดับเสียงของรถจักรยานยนต์
ตามที่ กรมการขนส่งทางบกได้ออกประกาศ เรื่อง เกณฑ์ของระดับเสียงที่เกิดจากเครื่องกำเนิดพลังงานของรถ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ลงวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ ไว้แล้ว นั้น
โดยที่ปัจจุบันได้มีประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดระดับเสียงของรถจักรยานยนต์ ลงวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๖ กำหนดระดับเสียงของรถจักรยานยนต์ขึ้นใหม่ดังนั้น เพื่อให้การกำหนดระดับเสียงของรถจักรยานยนต์สอดคล้องกับประกาศดังกล่าว และเพื่อให้การตรวจสอบระดับเสียงของรถจักรยานยนต์เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีมาตรฐานเดียวกัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๓ ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๓๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ กรมการขนส่งทางบกจึงออกประกาศกำหนดระดับเสียงและวิธีการวัดระดับเสียงของรถจักรยานยนต์ไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่อง เกณฑ์ของระดับเสียงที่เกิดจากเครื่องกำเนิดพลังงานของรถ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ตามประกาศ ลงวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖
ข้อ ๒ ในประกาศนี้
“ความเร็วรอบสูงสุด” หมายความว่า ความเร็วรอบของเครื่องยนต์ที่ให้กำลังสูงสุด ทั้งนี้ชุดเกียร์ส่งกำลังจะต้องอยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง
“ความเร็วรอบเดินเบา” หมายความว่า ความเร็วรอบของเครื่องยนต์ ในขณะที่ไม่ได้เร่งเครื่องยนต์
ข้อ ๓ เครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับตรวจวัดระดับเสียงต้องเป็น ดังนี้
(๑) เครื่องวัดระดับเสียง ตามมาตรฐานของคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศ ว่าด้วยเทคนิคไฟฟ้าซึ่งเรียกโดยย่อว่า ไอ อี ซี (International Electrotechnical Commission,IEC) หรือเครื่องวัดระดับเสียงอื่นที่มีมาตรฐานเทียบเท่า
(๒) เครื่องวัดความเร็วรอบเครื่องยนต์ที่มีความคลาดเคลื่อนไม่เกินร้อยละ ๓ ของค่าเต็มสเกล
ข้อ ๔ ระดับเสียงของรถจักรยานยนต์ในขณะที่เดินเครื่องยนต์อยู่กับที่ โดยไม่รวมเสียงแตรสัญญาณต้องมีระดับเสียงไม่เกิน ๙๕ เดซิเบล เอ เมื่อตรวจวัดระดับเสียงในระยะห่างจากรถจักรยานยนต์ ๐.๕ เมตร
ข้อ ๕ การเตรียมการตรวจวัด
(๑) สถานที่สำหรับทำการตรวจวัดระดับเสียง ต้องเป็นพื้นราบทำด้วยคอนกรีตหรือแอสฟัลต์หรือวัสดุที่มีคุณสมบัติในการสะท้อนเสียงได้ดี และเป็นที่โล่ง ซึ่งมีระยะห่างจากรถจักรยานยนต์ที่จะทำการตรวจวัดตั้งแต่ ๓ เมตรขึ้นไป
(๒) ปรับเครื่องวัดระดับเสียงไว้ที่วงจรถ่วงน้ำหนัก “A” (Weighting Network “A”) และที่ลักษณะความไวตอบรับเสียง “Fast” (Dynamic Characteristics “Fast”) รวมทั้งต้องสอบเทียบกับเครื่องกำเนิดเสียงมาตรฐาน เช่น พิสตันโฟน (Piston Phone) หรืออะคูสติค คาลิเบรเตอร์ (Acoustic Calibrator) หรือสอบเทียบ ตามที่ระบุไว้ในคู่มือการใช้งานของผู้ผลิตเครื่องวัดระดับเสียง
(๓) เครื่องมือทั้งหมดที่ใช้ในการตรวจวัด รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้สนับสนุนการวัดที่มีผลต่อค่าความแม่นหรือความใช้ได้ของผลการตรวจวัด ต้องได้รับการสอบเทียบตามระยะเวลาที่กำหนด
ข้อ ๖ การตรวจวัดระดับเสียง ให้กระทำ ดังนี้
(๑) ทำการวัดระดับเสียงของสภาพแวดล้อมและลมในขณะนั้นก่อน ระดับเสียงของสภาพแวดล้อมและลมที่วัดได้ในบริเวณสถานที่ตามข้อ ๕ (๑) ต้องไม่เกิน ๘๕ เดซิเบล เอ
(๒) ให้จอดรถจักรยานยนต์อยู่กับที่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง และเดินเครื่องยนต์จนกระทั่งถึงอุณหภูมิใช้งานปกติ หรือไม่น้อยกว่า ๕ นาที ก่อนทำการตรวจวัด ถ้ามีขอบทางเท้าจะต้องจอดรถจักรยานยนต์ห่างจากขอบทางเท้าอย่างน้อย ๑ เมตร
(๓) ติดตั้งเครื่องวัดระดับเสียงโดยหันแกนความไวสูงสุดของไมโครโฟน ให้เป็นไปตามตำแหน่งและวิธีการ ดังต่อไปนี้
(ก) กรณีรถจักรยานยนต์มีท่อไอเสียท่อเดียว ให้ตั้งไมโครโฟนในระดับเดียวกันกับปลายท่อไอเสีย และสูงจากพื้นไม่น้อยกว่า ๐.๒ เมตร หันไมโครโฟนเข้าหาปลายท่อไอเสีย แกนไมโครโฟนจะต้องขนานกับพื้นและทำมุม ๔๕ องศากับปลายท่อไอเสีย โดยมีระยะห่างจากปลายท่อไอเสีย ๐.๕ เมตร ดังรูปที่ ๑
(ข) กรณีที่ท่อไอเสียมีสองท่อหรือมากกว่า ซึ่งต่อจากหม้อพักใบเดียวกัน และมีระยะห่างระหว่างปลายท่อไอเสียไม่มากกว่า ๐.๓ เมตร ให้ดำเนินการตามข้อ ๖ (๓) (ก) เว้นแต่ให้ถือระยะและทิศทางของท่อไอเสียด้านนอกของรถจักรยานยนต์เป็นเกณฑ์
(ค) กรณีที่ท่อไอเสียมีสองท่อหรือมากกว่า ซึ่งต่อจากหม้อพักใบเดียวกันโดยมีระยะห่างระหว่างปลายท่อไอเสียมากกว่า ๐.๓ เมตร หรือในกรณีที่ท่อไอเสียต่อจากหม้อพักคนละใบ ไม่ว่าจะมีระยะห่างระหว่างปลายท่อไอเสียเท่าใด ให้ดำเนินการตามข้อ ๖ (๓) (ก) ทุกท่อ และให้ใช้ค่าสูงสุดที่วัดได้ ดังรูปที่ ๒
(๔) วัดระดับเสียงโดยเร่งเครื่องยนต์ให้มีความเร็วรอบเท่ากับสามในสี่ของความเร็วรอบสูงสุดกรณีเครื่องยนต์มีความเร็วรอบสูงสุดไม่เกิน ๕,๐๐๐ รอบต่อนาที หรือเร่งเครื่องยนต์ให้มีความเร็วรอบเท่ากับกึ่งหนึ่งของความเร็วรอบสูงสุด กรณีเครื่องยนต์มีความเร็วรอบสูงสุดเกินกว่า ๕,๐๐๐ รอบต่อนาที จนกระทั่งเครื่องยนต์ทำงานด้วยความเร็วรอบคงที่แล้วปล่อยให้เครื่องยนต์กลับไปที่ความเร็วรอบเดินเบาโดยอ่านค่าความเร็วรอบจากเครื่องวัดความเร็วรอบเครื่องยนต์
(๕) ให้ตรวจวัดระดับเสียง ๒ ครั้ง และให้ถือเอาค่าสูงสุดที่วัดได้เป็นระดับเสียงของรถจักรยานยนต์
(๖) ถ้าค่าระดับเสียงจากการตรวจวัดทั้ง ๒ ครั้ง แตกต่างกันเกินกว่า ๒ เดซิเบล เอ ให้ตรวจวัดระดับเสียงโดยเริ่มต้นใหม่
(๗) การอ่านค่าระดับเสียงของรถจักรยานยนต์ที่ทำการตรวจวัดจะต้องไม่มีบุคคลหรือสิ่งกีดขวางอยู่ภายในบริเวณ ๐.๕ เมตร จากไมโครโฟนของเครื่องวัดระดับเสียง
ข้อ ๗[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
เรื่อง กำหนดระดับเสียงและวิธีการวัดระดับเสียงของรถจักรยานยนต์
ตามที่ กรมการขนส่งทางบกได้ออกประกาศ เรื่อง เกณฑ์ของระดับเสียงที่เกิดจากเครื่องกำเนิดพลังงานของรถ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ลงวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ ไว้แล้ว นั้น
โดยที่ปัจจุบันได้มีประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดระดับเสียงของรถจักรยานยนต์ ลงวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๖ กำหนดระดับเสียงของรถจักรยานยนต์ขึ้นใหม่ดังนั้น เพื่อให้การกำหนดระดับเสียงของรถจักรยานยนต์สอดคล้องกับประกาศดังกล่าว และเพื่อให้การตรวจสอบระดับเสียงของรถจักรยานยนต์เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีมาตรฐานเดียวกัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๓ ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๓๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ กรมการขนส่งทางบกจึงออกประกาศกำหนดระดับเสียงและวิธีการวัดระดับเสียงของรถจักรยานยนต์ไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่อง เกณฑ์ของระดับเสียงที่เกิดจากเครื่องกำเนิดพลังงานของรถ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ตามประกาศ ลงวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖
ข้อ ๒ ในประกาศนี้
“ความเร็วรอบสูงสุด” หมายความว่า ความเร็วรอบของเครื่องยนต์ที่ให้กำลังสูงสุด ทั้งนี้ชุดเกียร์ส่งกำลังจะต้องอยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง
“ความเร็วรอบเดินเบา” หมายความว่า ความเร็วรอบของเครื่องยนต์ ในขณะที่ไม่ได้เร่งเครื่องยนต์
ข้อ ๓ เครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับตรวจวัดระดับเสียงต้องเป็น ดังนี้
(๑) เครื่องวัดระดับเสียง ตามมาตรฐานของคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศ ว่าด้วยเทคนิคไฟฟ้าซึ่งเรียกโดยย่อว่า ไอ อี ซี (International Electrotechnical Commission,IEC) หรือเครื่องวัดระดับเสียงอื่นที่มีมาตรฐานเทียบเท่า
(๒) เครื่องวัดความเร็วรอบเครื่องยนต์ที่มีความคลาดเคลื่อนไม่เกินร้อยละ ๓ ของค่าเต็มสเกล
ข้อ ๔ ระดับเสียงของรถจักรยานยนต์ในขณะที่เดินเครื่องยนต์อยู่กับที่ โดยไม่รวมเสียงแตรสัญญาณต้องมีระดับเสียงไม่เกิน ๙๕ เดซิเบล เอ เมื่อตรวจวัดระดับเสียงในระยะห่างจากรถจักรยานยนต์ ๐.๕ เมตร
ข้อ ๕ การเตรียมการตรวจวัด
(๑) สถานที่สำหรับทำการตรวจวัดระดับเสียง ต้องเป็นพื้นราบทำด้วยคอนกรีตหรือแอสฟัลต์หรือวัสดุที่มีคุณสมบัติในการสะท้อนเสียงได้ดี และเป็นที่โล่ง ซึ่งมีระยะห่างจากรถจักรยานยนต์ที่จะทำการตรวจวัดตั้งแต่ ๓ เมตรขึ้นไป
(๒) ปรับเครื่องวัดระดับเสียงไว้ที่วงจรถ่วงน้ำหนัก “A” (Weighting Network “A”) และที่ลักษณะความไวตอบรับเสียง “Fast” (Dynamic Characteristics “Fast”) รวมทั้งต้องสอบเทียบกับเครื่องกำเนิดเสียงมาตรฐาน เช่น พิสตันโฟน (Piston Phone) หรืออะคูสติค คาลิเบรเตอร์ (Acoustic Calibrator) หรือสอบเทียบ ตามที่ระบุไว้ในคู่มือการใช้งานของผู้ผลิตเครื่องวัดระดับเสียง
(๓) เครื่องมือทั้งหมดที่ใช้ในการตรวจวัด รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้สนับสนุนการวัดที่มีผลต่อค่าความแม่นหรือความใช้ได้ของผลการตรวจวัด ต้องได้รับการสอบเทียบตามระยะเวลาที่กำหนด
ข้อ ๖ การตรวจวัดระดับเสียง ให้กระทำ ดังนี้
(๑) ทำการวัดระดับเสียงของสภาพแวดล้อมและลมในขณะนั้นก่อน ระดับเสียงของสภาพแวดล้อมและลมที่วัดได้ในบริเวณสถานที่ตามข้อ ๕ (๑) ต้องไม่เกิน ๘๕ เดซิเบล เอ
(๒) ให้จอดรถจักรยานยนต์อยู่กับที่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง และเดินเครื่องยนต์จนกระทั่งถึงอุณหภูมิใช้งานปกติ หรือไม่น้อยกว่า ๕ นาที ก่อนทำการตรวจวัด ถ้ามีขอบทางเท้าจะต้องจอดรถจักรยานยนต์ห่างจากขอบทางเท้าอย่างน้อย ๑ เมตร
(๓) ติดตั้งเครื่องวัดระดับเสียงโดยหันแกนความไวสูงสุดของไมโครโฟน ให้เป็นไปตามตำแหน่งและวิธีการ ดังต่อไปนี้
(ก) กรณีรถจักรยานยนต์มีท่อไอเสียท่อเดียว ให้ตั้งไมโครโฟนในระดับเดียวกันกับปลายท่อไอเสีย และสูงจากพื้นไม่น้อยกว่า ๐.๒ เมตร หันไมโครโฟนเข้าหาปลายท่อไอเสีย แกนไมโครโฟนจะต้องขนานกับพื้นและทำมุม ๔๕ องศากับปลายท่อไอเสีย โดยมีระยะห่างจากปลายท่อไอเสีย ๐.๕ เมตร ดังรูปที่ ๑
(ข) กรณีที่ท่อไอเสียมีสองท่อหรือมากกว่า ซึ่งต่อจากหม้อพักใบเดียวกัน และมีระยะห่างระหว่างปลายท่อไอเสียไม่มากกว่า ๐.๓ เมตร ให้ดำเนินการตามข้อ ๖ (๓) (ก) เว้นแต่ให้ถือระยะและทิศทางของท่อไอเสียด้านนอกของรถจักรยานยนต์เป็นเกณฑ์
(ค) กรณีที่ท่อไอเสียมีสองท่อหรือมากกว่า ซึ่งต่อจากหม้อพักใบเดียวกันโดยมีระยะห่างระหว่างปลายท่อไอเสียมากกว่า ๐.๓ เมตร หรือในกรณีที่ท่อไอเสียต่อจากหม้อพักคนละใบ ไม่ว่าจะมีระยะห่างระหว่างปลายท่อไอเสียเท่าใด ให้ดำเนินการตามข้อ ๖ (๓) (ก) ทุกท่อ และให้ใช้ค่าสูงสุดที่วัดได้ ดังรูปที่ ๒
(๔) วัดระดับเสียงโดยเร่งเครื่องยนต์ให้มีความเร็วรอบเท่ากับสามในสี่ของความเร็วรอบสูงสุดกรณีเครื่องยนต์มีความเร็วรอบสูงสุดไม่เกิน ๕,๐๐๐ รอบต่อนาที หรือเร่งเครื่องยนต์ให้มีความเร็วรอบเท่ากับกึ่งหนึ่งของความเร็วรอบสูงสุด กรณีเครื่องยนต์มีความเร็วรอบสูงสุดเกินกว่า ๕,๐๐๐ รอบต่อนาที จนกระทั่งเครื่องยนต์ทำงานด้วยความเร็วรอบคงที่แล้วปล่อยให้เครื่องยนต์กลับไปที่ความเร็วรอบเดินเบาโดยอ่านค่าความเร็วรอบจากเครื่องวัดความเร็วรอบเครื่องยนต์
(๕) ให้ตรวจวัดระดับเสียง ๒ ครั้ง และให้ถือเอาค่าสูงสุดที่วัดได้เป็นระดับเสียงของรถจักรยานยนต์
(๖) ถ้าค่าระดับเสียงจากการตรวจวัดทั้ง ๒ ครั้ง แตกต่างกันเกินกว่า ๒ เดซิเบล เอ ให้ตรวจวัดระดับเสียงโดยเริ่มต้นใหม่
(๗) การอ่านค่าระดับเสียงของรถจักรยานยนต์ที่ทำการตรวจวัดจะต้องไม่มีบุคคลหรือสิ่งกีดขวางอยู่ภายในบริเวณ ๐.๕ เมตร จากไมโครโฟนของเครื่องวัดระดับเสียง
ข้อ ๗[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๘
ปิยะพันธ์ จัมปาสุต
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก
ขอบคุณที่มา http://aod-lawyer.com/
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นช่างภาพขาซิ่งก็ไปหาวิดีโอมาให้ดูกันด้วย
นี่ก็เป็นวิธีการตรวจวัดความดังเสียงของท่อมอไซด์ตามกฎหมายกำหนดแบบเป๊ะๆ ที่ช่างภาพขาซิ่งนำมาฝากกันนะครับ ถ้าใครมีเครื่องวัดก็ลองเช็คกันก่อนก็ดีนะครับตอนที่ติดตั้งท่อ จะได้ไม่มีปัญหาเวลาคุณพี่ตำรวจเขาจะขอวัดความดังเสียงกันนะครับ
บล็อกนี้มีข้อมูลมาก สำหรับฉัน ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันบล็อกนี้ และคุณสามารถเยี่ยมชมเราได้ที่ เครื่องวัดความดังเสียง.
ตอบลบเป็นความรู้ที่ดีมากเลยครับ ขอแนะนำ ยางรถมอเตอร์ไซค์ โยโกฮามา นิดนึง ดูรายละเอียดกันได้ที่นี่ YOKOHAMA BIKE
ตอบลบ